You are currently viewing เรื่องเล่า จากประสบการณ์จริง

เรื่องเล่า จากประสบการณ์จริง

เมื่อนายหัวใหญ่ ต้องผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ

ชีวิตหมอ ชีวิตคนป่วย มีชะตาให้มาบรรจบกัน


 

สามปีก่อน…ตอนที่ผม ทำงานในโรงพยาบาล premium grade ในจังหวัดภูเก็ต.. ผมได้มีวาสนาผูกพันกับคนป่วยโรคหัวใจท่านหนึ่ง.. ท่านเป็นคหบดีในพื้นที่แถบนั้น.. เจ้าของโรงไม้ใหญ่.. และว่ากันว่า..ท่านเป็นเจ้าพ่อท้องถิ่นเสียด้วย..

เรื่องของเรื่องเริ่มจาก…ในช่วงกลางดึกคืนหนึ่ง ผู้ป่วยท่านนี้..เกิดอาการแน่นหน้าอกฉับพลัน..เป็นครั้งแรกในชีวิต.. เหงื่อแตกโทรมกาย.. หายใจไม่สะดวก ..เหมือนคนจะจมน้ำยังไงประมาณนั้น..

 

พอเกิดอาการแบบนี้ขึ้น ก็ต้องมาโรงพยาบาลที่คนในพื้นที่ใกล้เคียงจะพึ่งพาได้.. ถ้าพอมีกำลังจ่ายไหว.. คือท่านเห็นว่าถ้าเข้าโรงพยาบาลอื่นนอกจากโรงพยาบาลนี้ ท่านคงไปเยี่ยมยมบาล ท่านไม่วางใจพอ.. แต่ท่านก็ไม่ได้มาโรงพยาบาลทันทีในคืนนั้น.. ท่านมาอีกทีก็ตอนเช้า

เพราะคืนนั้น อาการแน่นอก มันพอทุเลาไปเองแล้ว แต่พอตอนเช้ามืด มันเริ่มกำเริบใหม่อีกรอบ คราวนี้เลยตัดสินใจมาโรงพยาบาล

พอมาถึงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล.. ทีมแพทย์ที่นั่น ก็ให้การดูแลรักษาเป็นอย่างดี.. เรียกว่าดูแลทุกคนเหมือนลูกค้า VIP นั่นเองครับ.. อันนี้ต้องกล่าวชมเชยกันตรงไปตรงมา

และแล้ว แพทย์ประจำห้องฉุกเฉิน ซึ่งปกติจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ก็ตรวจวินิจฉัยได้ว่า.. ผู้ป่วยรายนี้ เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างรุนแรง.. แพทย์เขาวินิจฉัยโดยดูข้อมูลเกี่ยวกับอาการของโรค ดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ..สองประการนี้เป็นหลัก.. ถ้าจะให้ชัดเจน ก็ต้องเจาะเอนไซม์กล้ามเนื้อหัวใจ

ปรากฏว่า ตอนที่กำลังตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในขณะนั้น ท่านเจ้าพ่อ อาการแน่นหน้าอกหายทุเลาไปแล้ว.. คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เลย “ปกติ”.. หรือในผู้ป่วยบางราย แม้ว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจในตอนที่อาการแน่นหน้าอกหายไปหมดแล้ว ก็ยังอาจจะมีอะไรผิดแปลกไปจากปกติ แต่ก็จะเป็นแค่ “แผลเก่า” ของหัวใจ ที่เกิดขึ้นนานมาแล้วก่อนหน้านั้น…รายละเอียดเรื่องคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จะมีให้อ่านกันต่อไปนะครับ

แต่แม้คลื่นไฟฟ้าหัวใจจะปกติ แต่การเจาะเลือดดูเอนไซม์ของกล้ามเนื้อหัวใจ ก็พบว่ามีเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย และเมื่อเซลล์สลายตัวลง เอนไซม์ต่างๆภายในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจก็ละลายออกมาในกระแสเลือด ให้เราตรวจพบได้…ดังนั้น จึงแปลความได้ว่า การพบเอนไซม์กล้ามเนื้อหัวใจสูงเกินค่าปกติ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว ..ส่วนจะเสียหายจากเหตุอะไร ก็ค่อยไปประกอบการพิเคราะห์อีกที …รายละเอียดเรื่องเอนไซม์หัวใจ จะกล่าวถึงต่อไปในอีกบทความครับ

สรุปว่า เคสนายหัวท่านนี้ ก็เป็นลักษณะที่เข้าได้กับกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด ก็น่าจะหมายถึงเรื่องที่เราพบกันบ่อยๆ คือ เส้นเลือดหัวใจตีบตันนั่นเอง

 

และเมื่อมีหลักฐานชี้ชัดแล้ว ว่ามีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว กล้ามเนื้อหัวใจส่วนหนึ่ง ได้เกิดความเสียหายไปแล้ว … หน้าที่ของแพทย์ก็คือ จะทำอย่างไร ให้กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่เหลือ จะไม่บุบสลายไป ทำอย่างไร ไม่ให้เกิดความเสียหายถาวรจากการขาดเลือด

นั่นก็คือ เราก็ต้องทราบก่อนว่า คนป่วยรายนั้นๆ มีปัญหาเรื่องหลอดเลือดหัวใจตีบตัน อุดตันหรือไม่ …ก็แปลว่า ในผู้ป่วยที่พบว่ามีหลักฐานว่ากล้ามเนื้อหัวใจเกิดความเสียหาย ที่เข้าได้กับการเสียหายน่าจะเพราะจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (มีอาการแน่นหน้าอกฉับพลัน อาจจะมีอาการเหงื่อแตกท่วมตัวหรือไม่มีก็ได้ เป็นตอนออกแรง หรือกระทั่งตอนหลับๆอยู่ดีๆกลางดึก ก็เป็นได้ทั้งนั้น) เคสพวกนี้ ก็ควรจะต้องทำการตรวจค้น เพื่อเจาะลึกลงไปว่า มีหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรือไม่

 

มีบางกรณี ที่กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือเสียหายไป เนื่องจากสาเหตุอื่นที่ชัดเจนว่าไม่น่าจะเกิดจากเส้นเลือดหัวใจตีบตัน เช่น อาจจะมีประวัติที่บ่งไปทางติดเชื้อไวรัสลงกล้ามเนื้อหัวใจ หรือประวัติโดนกระแทกหน้าอก หัวใจบาดเจ็บรุนแรงจากแรงกระแทก… ประเภทนี้ก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแพทย์ที่ทำการรักษา .. ไม่ใช่พอเจอเอนไซม์หัวใจขึ้นผิดสังเกตนิดเดียว พวกจับไปสวนหัวใจหมดเลย แบบนี้ก็ไม่ใช่

…ดังนั้นในรายผู้ป่วย นายหัวท่านนี้ คณะแพทย์ก็ลงความเห็นว่า สมควรได้รับการสวนหัวใจ เพื่อฉีดสารทึบรังสี ดูว่าหลอดเลือดหัวใจตีบตันอะไรขนาดไหน ตีบตันกี่ตำแหน่ง …เพื่อทำการรักษาต่อไป โดยรักษาเพื่อหวังผลให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้เหมือนปกติ หรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด

…นายหัวท่านนี้ ก็เลยได้รับคำแนะนำว่าต้อง “ฉีดสี” ดูเส้นเลือดหัวใจ ตามภาษาที่หมอเรามักจะใช้ในการอธิบายคนไข้ทั่วไป

…และแล้ว ความเป็นเจ้าพ่อก็ได้สำแดงออกมาในช่วงเวลานี้แหละ

 

… ตอนช่วงเก้าโมงเช้าวันนั้น..  หรือที่คนใต้เรียกว่า ตีเก้าหัวรุ่ง…ตี่ ก่าววว..หั่ว..รู่งง.. ก็เป็นเวลาที่จะทำการสวนหัวใจท่านนายหั้ว นั่นเอง..

..นายหั้ว บอก ม่ายพรื้อๆ…แต่ทานโทษ… ท่านให้ลูกน้องประจำการหน้าห้องสวนหัวใจ สามคน ทุกคนมีอาวุธปืนแพลมออกมาให้เห็นเสียด้วยครับท่าน…

พูดง่ายๆ คือท่านนายหั้ว เอามือปินมารักษาการณ์หน้าห้องสวนหัวใจ… ในนาทีที่หมอกำลังทำการตรวจสวนหัวใจ… โอ๊ยยย… (กู)จะบ้าตาย!

ท่านทราบหรือไม่ครับ ว่าการสวนหัวใจ แค่สวนหัวใจธรรมดานี่แหละ ไม่ทันได้ทำการบอลลูนขยาย หรือใส่ขดล่งขดลวดอะไรเข้าไปเลยเนี่ย … มันก็มีโอกาสตายได้นะครับ อาจจะ หนึ่งในพัน หรือหนึ่งในหมื่น ก็แล้วแต่ฝีมือ ประสบการณ์ของหมอแต่ละคน… อ้อๆ ประสบการณ์อย่างเดียวก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากครับ ถ้าหมอท่านนั้นเกิดถึงคราวซวย ดวงตกจริงๆ มันก็มีให้เห็นมาแล้ว ว่าคนไข้ คาที่ในห้องสวนหัวใจได้ …แม้ว่าโอกาสจะน้อยมาก แต่ก็…แหม คนที่ซื้อหวยถูกสามตัวท้าย ตรงไม่มีโต๊ด ก็ยังมีปรากฏบ่อยๆนี่นา จริงมั้ย

แล้ว…อีคราวนี้… หมอสวนหัวใจในห้องที่เราเรียกว่า cath lab.. หรือห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ โดยมีลูกน้องคนไข้ ที่กำลังนอนบนเตียงสวนหัวใจ เฝ้าอารักขาหน้าประตู cath lab ในลักษณะพร้อมยิงหมอ เอ๊ย พร้อม..อะไรก็ไม่รู้ล่ะ… เออ มันฟินจริงๆนะ ..

 

เรื่องจริงนะครับ ทำเป็นเล่นไป…

พอสวนหัวใจเสร็จ …ก็ปรากฏว่า เส้นเลือดหัวใจตีบหลายเส้น มากเกินกว่าจะทำการรักษาโดยการทำบอลลูน และใส่ขดลวด หรือที่เรียกว่า ใส่ stent (…ชื่อเต็มๆคือ coronary stent)

…แน่นอนครับว่า… หมอที่ทำการสวนหัวใจ หรือที่เราเรียกกันในแวดวงหมอด้วยกันว่า Interventional Cardiologist .. ก็ต้องปรึกษาศัลยแพทย์ผ่าตัดหัวใจ นั่นเองครับ เพื่อทำการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ!

..นาทีนั้น หมอสัญญา เลยต้องมาปรากฏตัว เพื่อแนะนำกับนายหัวท่านนี้… ทุกวันนี้ผมยังประทับใจในเหตุการณ์ตอนนั้น …ส่วนจะออกหัวหรือออกก้อย …ไว้อ่านตอนต่อไปครับ

Leave a Reply