You are currently viewing ลิ้นหัวใจรั่วรุนแรง กับความตายที่ใกล้มาถึง – ตอน 2

ลิ้นหัวใจรั่วรุนแรง กับความตายที่ใกล้มาถึง – ตอน 2

ลิ้นหัวใจรั่วขั้นรุนแรง

ชีวิตกับความตาย เส้นแบ่งบางๆ ที่คั่นกลาง

ตอน 2


สรุปว่า..ในคืนวันเสาร์ คืนก่อนวันผ่าตัด อาทิตย เช้า… ผมคิดว่าไม่ไหว ..คือคิดด้วยความเห็นแก่ตัวของผมแหละครับ ว่าผมไม่อยากลุย ไม่อย่กเหนื่อย เพราะถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมา ผมก็ต้องอยู่ประกบติดคนป่วยของผมตลอดเวลา… ไม่ได้ชอบนะ แต่ทิ้งคนไข้ที่ผ่าไม่ได้ .. เอาว่า อย่าผ่าเลยง่ายสุด

ว่าแล้ว ผมก็โทรหาแม่ของคนป่วยรายนี้..

โทรคุยตอนสี่ทุ่มได้.. เพราะผมก็เพิ่งผ่าตัดเคสอื่นเสร็จ เคลียร์งานเสร็จก็สามทุ่ม.. และค่อยมาประเมินคนไข้ให้แน่ใจอีกครั้ง โดยละเอียด.. สั่งเจาะเลือด ดูการทำงานของตับ (เจาะเอนไซม์ตับ) และดูระดับการแข็งตัวของเลือด

ผลเลือดเลยมาออกตอนสี่ทุ่ม..โอ๊ยย.. ผงะเลยครับท่านผู้ชม

การทำงานของตับ เรียกว่าทรุดลงเมื่อเทียบกับตอนต้นเดือนมกราคม.. การแข๋งตัวของเลือด ก็ผิดปกติไปมาก เลือดออกง่ายหยุดยาก… ถ้าแค่ผ่าไฝ ผ่าเสริมตามสองชั้น ยังพอทำเนา.. แต่นี่ ผ่าหัวใจนะ..

อย่าลืม..เมื้อต้นปีใหม่ …คนไข้รายแรกของปี ต้องจบบทสุดท้ายในสารบัญชีวิต ..the last chapter of his life.. เพราะเรื่องเลือดออกไม่หยุด…

แล้วนี่..มาอีกละ… คราวนี้เอาแบบตับเริ่มจะวายอีกด้วย เลือดออกซึมไปหมด เอาไม่อยู่แน่..คาดว่านะ

ว่าแล้ว ผมก็โทรหาคุณแม่คนไข้… พอดีเนื่องจากคุณแม่ตอนนี้ทำงานอิสระ คือการขายประกัน..ผมเลยคิดว่า คุณแม่คนไข้รายนี้ น่าจะเข้าใจอะไรเกี่ยวกับการประกันได้ง่าย

ผมบอกคุณแม่คนไข้ผมก่อนเลย… บอกว่า ถ้าผ่าตัดหัวใจวันรุ่งขึ้นเนี่ย… ผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะตายหรือไม่ตาย แต่โอกาสตายน่าจะมากกว่า เพราะหนึ่ง..คนไข้อาการหนักมากจริงๆ น้ำท่วมปอดเป็นๆหายๆ เข้าโรงพยาบาลตลอด

สาเหตุประการที่สองคือ..ช่วงนี้เหมือนหมอดวงจู๋..เพิ่งจบบทสุดท้ายของชีวิตไปเคสหนึ่ง พร้อมคำด่าจากญาติๆ

ผมเลยบอกแม่แบบผมเห็นแก่ตัวว่า… “ผมว่า น้องเขาผ่าไม่ไหวเพราะอาการหนักมาก ตับเริ่มพังแบบกู่ไม่กลับ คิดว่าผ่าไป โอกาสไม่รอดมีสูงแน่ๆ..”

คุณแม่ได้ฟังแบบนี้ คนเป็นแม่ จะรับได้หรือ ที่จะปล่อยให้ลูกชายคนเล็กของเขา ต้องจากไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย… แน่นอน ในสายตาของคนเป็นแม่ ..ต้องขอร้องหมอช่วยพยายามดู

“ขอเถอะหมอ แม่ขอร้อง จะให้ทำยังไงดี”

ผมก็เรียนไปว่า…”แม่ครับ.. น้อง(…) เขาไม่ไหวแล้ว ผ่าไปก็เสี่ยงมาก หมอไม่อยากลุยไฟ”

“แล้วหมอจะทำยังไง..”

“ก็คงต้องปล่อยไปตามธรรมชาติครับ ” ..คำยืนกรานจากผม

คุยกันแบบนี้..อยู่ราวๆครึ่งชั่วโมง… เฮ้ออออ ..เราก็เห็นใจคุณแม่เขาอยู่เนอะ… แต่ตัวหมอเองก็เพิ่งจะบาดเจ็บสาหัสจากเคสแรกของปีมาหมาดๆ

…เอ้อออ… ผมเอารายละเอียดเคสนี้ไปหารือกับทีมงานผ่าตัดหัวใจ อยู่ราวครึ่งชั่วโมงได้… ต้องเรียนว่า ณ ตอนนั้น มันเวลาห้าทุ่มเศษแล้วนะครับ

ทีมงานก็เห็นใจผมอยู่มาก ..ก็แล้วแต่หมอผ่าตัดนั่นแหละจะเอาไง…

ผมนั่งตรองอยู่อีกครู่หนึ่ง… มาคิดได้ว่า ถ้าเจ้าหนุ่มคนนี้รอดตาย และกลับตัวกลับใจได้… ไม่ไปเสพยาอีก… เขาก็น่าจะเป็นพ่อที่ดีของลูกสาววัยแค่ยังไม่ถึงสองขวบ… ผมไม่น่าจะตัดโอกาสเขา เพราะมันเท่ากับตัดโอกาสลูกสาวตัวน้อยของเขาด้วย..

เอาว่ะ!!!!… ผมบอกคุณแม่เขาว่า..”ตกลง!”

วันรุ่งขึ้น ..เช้าวันอาทิตย์…ผมจำได้ดีว่า เช้าวันนั้น แสงอาทิตย์สาดแสงเรืองรองบนขอบฟ้า ในยามรุ่งอรุณ… ผมขับรถออกมาจากบ้าน ก็คิดว่า.. เออ วันนี้ น่าจะวันดีนะ..

ก่อนผ่าตัด… ผมมาเห็นหน้าคนป่วยที่ผมกำลังจะเอามีดกรีดลงกลางหน้าอกอีกครั้ง… เอ้ออออ มันอาการโทรมมากจริงๆ.. แต่ก็.. จะว่าไป มันอาการเหมือนคนเบลอๆ.. น่าจะตับเริ่มวายแล้ว (ปกติตับเสียการทำงานไปมากนี่ เราจะไม่ผ่าหัวใจกันนะครับ แต่รายนี้ ตับมันเสียการทำงาน เป็นปลายเหตุจากหัวใจเริ่มพัง เลยต้องเข้าไปแก้ที่ต้นเหตุที่หัวใจ).. หรือไม่ก็.. เมายา? หรือถอนฤทธิยาบ้า?..

ถอนฤทธิยาบ้านี่ ไม่อยู่ในสมการของผมตอนนั้น เพราะคนไข้รายนี้ ไปนอนอยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัดตั้งนาน.. มันจะแอบเล่นยาอีกนี่ ไม่น่าเป็นไปได้

เอ้าา…เอาๆๆ… เอาเข้าห้องผ่าตัด.. ผมก็ไปเปลี่ยนชุดเข้าห้องผ่าตัดก่อน..

ก่อนผ่าตัด ทางวิสัญญีแพทย์เฉพาะทางการผ่าตัดหัวใจ จะแทงเส้นเลือดดำใหญ่ที่คอ เพื่อใส่สายสวนหลอดเลือดเข้าที่ตำแหน่งนั้น ผ่านเข้าไปวัดแรงดันในหัวใจห้องฝั่งขวา… ค่าแรงดันที่อ่านได้(เรียกว่า CVP – Central Venous Pressure) ตอนแรกเกือบสามสิบ!…จากปกติ แรงดัน CVP อยู่ประมาณ 8 – 12 เท่านั้น.. แรงดันเลือดดำในหัวใจฝั่งขวาขนาดนี้ บอกได้เลยว่า ตับไตใส้พุงข้างใน ต้องบวมน้ำ พองฉุไปหมดเป็นมั่นคง

เอาล่ะ..แต่ยังไง การผ่าตัดก็ต้องดำเนินต่อไป.. รายนี้ ..ลิ้นหัวใจฝั่งซ้ายรั่วรุนแรง ผมก็พยายามซ่อมก่อน แต่ปรากฏว่า หัวใจมันโตมากจริงๆ ทำให้ขอบลิ้นหัวใจมันถ่างออกมาก จนลิ้นหัวใจไม่มาปิดชนกัน.. หลังจากที่พยายามซ่อมอยู่พักใหญ่ ก็ต้องตัดสินใจเปลี่ยนลิ้น..ลิ้นหัวใจมัยตรัล

เวลาที่เราเปลี่ยนลิ้นหัวใจนั้น.. หลักการพื้นฐานก็คือ ถ้าหากคนคนนั้น อายุไม่มาก (มีแนวทางปฏิบัติกำหนดตัดที่อายุเกิน 65 ปี.. แต่มันก็ต้องแล้วแต่พิจารณาว่ากันเป็นรายๆไปด้วย จะเอาตายตัวทุกคนไม่ได้) ก็ใช้ลิ้นหัวใจแบบวัสดุสังเคราะห์ ซึ่งแต่ก่อนเราจะใช้คำว่าลิ้นโลหะ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีลิ้นโลหะแล้ว.. มีแต่วัสดุคาร์บอนสังเคราะห์

แต่ถ้าหากผู้ป่วยรายไหน อายุมากแล้ว ..เราก็จะพิจารณาใช้ลิ้นเทียมแบบเนื้อเยื่อมากกว่า

มันต่างกันยังไง..ลิ้นเนื่อเยื่อ กับลิ้นคาร์บอนสังเคราะห์?…ต่างกันตรงที่ลิ้นสังเคราะห์ ..ต้องทานยาชะลอการแข็งตัวของเลือด.. ส่วนลิ้นเนื้อเยื่อไม่ต้อง… รายละเอียดเรื่องนี้ ต้องเล่ากันยาวครับ อ่านต่อได้ที่นี่

 

แต่กลับมาต่อกันที่คนไข้รายนี้ครับ..

สรุปคือ ผู้ป่วยรายนี้ เป็นลิ้นหัวใจมัยตรัลรั่วรุนแรง และหัวใจห้องซ้ายบานเกินกว่าที่ผมจะสามารถซ่อมแซมได้ ก็ต้องเปลี่ยนใส่ลิ้นเทียม ซึ่งจากการประเมินปัจจัยต่างๆรอบด้าน ผมก็ต้องเลือกใช้แบบลิ้นเนื้อเยื่อ ไม่ใช่ลิ้นวัสดุสังเคราะห์ ทั้งๆที่ลิ้นเนื้อเยื่ออายุการใช้งานไม่นานเกินสิบปี ยิ่งถ้าใส่ลิ้นเนื้อเยื่อในคนไข้วัยหนุ่มๆแบบนี้ ลิ้นหัวใจเนื้อเยื่อจะยิ่งสึกกร่อนเร็วกว่าที่จะไปใส่ในคนสูงอายุ

นอกจากลิ้นหัวใจฝั่งซ้ายหรือลิ้นหัวใจมัยตรัลแล้ว ทางฝั่งขวา ก็ต้องทำการซ่อมลิ้นด้วยเช่นกัน เพราะหัวใจห้องขวา มันพองโตออกมามาก จนทำให้ลิ้นหัวใจฝั่งขวา มันถ่างขยายออก “ขอบแหวน”รอบลิ้นหัวใจฝั่งขวา ขยายวงรอบกว้างขึ้น ทำให้ลิ้นหัวใจปิดชนกันไม่ได้ เกิดการรั่วอย่างรุนแรงตามมา …

วิธีแก้ไขลิ้นหัวใจฝั่งขวารั่วแบบนี้ ก็ไม่ยากอะไร เราก็เพียงใส่ “แหวนรอบลิ้น” อันใหม่ลงไป ทำให้ขอบรอบวงของลิ้นหัวใจฝั่งขวา มีขนาดหดเล็กลง แผ่นลิ้นหัวใจจะได้ปิดเปิดมาประกบกันได้สนิท ไม่เกิดปัญหาลิ้นหัวใจรั่วเลือดทะลักกลับลงสู่ระบบเลือดดำที่ตับ นั่นเอง

สรุปว่า ผู้ป่วยรายนี้ กระผมก็สามารถทำการผ่าตัดแก้ไขได้ลุล่วงไปด้วยดี คนไข้ออกจากห้องผ่าตัด ไปฟักฟื้นที่ ICU… ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดอะไร ไม่มีปัญหาเรื่องเลือดออกไม่หยุดอย่างที่ทางทีมงานกังวลมาแต่แรก (ตับไม่ดี การแข็งตัวของเลือดช้าลงกว่าปกติพอสมควร)

… แต่อย่างไรก็ตาม รายนี้ พออยู่ใน ICU ตอนแรก ก็ปรากฎว่า ระดับออกซิเจนในเลือด ลดต่ำลงมาเรื่อยๆ จากปกติ ออกจากห้องผ่าตัดใหม่ๆ เปอร์เซนต์ออกซิเจนสูงประมาณ 98% แต่พอย้ายมาถึง ICU ที่แม้จะห่างกันไม่กี่ก้าว …เปอร์เซนต์ออกซิเจนในเลือด ที่จับได้ที่ปลายนิ้ว ก็ลงมาเหลือ 90% …มันค่อยๆลงมาทีละนิดละหน่อย

…จนทำไปทำมา …ออกซิเจนในเลือด เหลือแค่ 60%…!!!

อ้าว…ซวยอีกหรือเปล่าเนี่ย หมอสัญญา…!? จะซวยซ้ำซ้อนอีกหรือนี่…

พอดีว่า ผมเรียกปลุกคนไข้ให้ตื่นจากยาสลบ (ตามปกติวิสัยของผมทุกเคส) เจ้าหนุ่มคนนี้ ก็ไอออกมา โค่กๆๆๆ… อื้อหือ… ชัดเจนเลยครับ เพราะเสมหะที่ออกมานั้น มันไม่ใช้เสมหะแบบที่เราเข้าใจกันนะครับ แต่มันเป็นน้ำ ฟองสีชมพูฟ่อดๆ ออกมาเต็มท่อหายใจเลยทีเดียว ..

คนไข้รายนี้ มีภาวะน้ำท่วมปอด …คนไข้มีปัญหาน้ำเกินมาก ตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดละ เลือดแกเข้มข้นมาก และปริมาณน้ำในร่างกายและในกระแสเลือดก็สูงมาก เรียกว่า คนไข้มีปัญหาเรื่องหัวใจวายรุนแรงได้แน่นอน… (แสดงว่า ก่อนหน้านี้ ยังได้ยาขับปัสสาวะไม่มากพอ คนไข้เลยมีอาการหอบเหนื่อย ต้องใส่ท่อหายใจก่อนหน้านี้บ่อยมาก)

แต่ก็แก้ไขกันไป ไล่น้ำออกทางปัสสาวะเพิ่มเข้าไปอีก ดูดระบายเสมหะในท่อช่วยหายใจ ..ปรับเครื่องช่วยหายใจ …และอะไรๆอีกสารพัด… จนกระทั่งเปอร์เซนต์ออกซิเจนในเลือด เพิ่มมาเป็น 100% เต็มได้ในที่สุด…

…และคนไข้ เริ่มตื่นหลังการผ่าตัด เริ่มฟื้นจากยาดมสลบและยาคลายกล้ามเนื้อแล้ว

…ดีมากๆเลยครับ

..ในวันต่อมา ก็เอาท่อช่วยหายใจออกได้ หลังจากถอยการทำงานของเครื่องช่วยหายใจมาพักใหญ่ คนไข้หายใจเองได้ …เอาท่อหายใจออกได้ … ความดันเลือดดีขึ้นๆ จากตอนแรกๆ ความดันออกจะต่ำๆ ประมาณ 90/60 มิลลิเมตรปรอท .. ต่อมาความดันขึ้นถึงระดับ 140/80 มิลลิเมตรปรอท

หัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอดีมาก ไม่มีการเต้นผิดจังหวะเลยแม้แต่ครั้งเดียว…

นอกจากนี้ ในวันต่อมา อาการตัวเหลือง ตาขาวเหลืองๆ ยังลดลงด้วย ก่อนหน้านี้ ตาขาวจะบวมน้ำ ดูฉุๆ อย่างชัดเจน…ในวันต่อมา อะไรๆยุบบวมแล้ว

การทำงานของตับก็ดีขึ้น เอนไซม์ตับลดลง..เอ้อออ…. ไม่เกิดตับวายรุนแรงหลังการผ่าตัด

…ขอผมเรียกเป็นภาษาแพทย์ซักที …No fulminant hepatic failure!!!

เรียกว่าถ้าหากเกิดภาวะตับวายรุนแรง …Fulminant Hepatic Failure… ออกหวยแบบนี้ ..ยังไงก็ตายแน่นอน เป็นมั่นคง..!

แต่นี่ ..เหมือนว่า จะรอดตายได้ รอดจากการผ่าตัดที่เสี่ยงสูงมาก … เออ.. เลือดก็ไม่ออกอะไรมาก ตับก็ดีขึ้น ความดันก็เพิ่มกว่าเดิม หายใจดีมาก คนไข้บอกเหนื่อยลดลงชัดเจน …แถมยังบอกด้วยว่า ถ้ารอผ่าไปแม้อีกแค่สัปดาห์เดียว… เขาคิดว่าเขาตายแน่ๆ

ผมก็บอกไปว่า ได้ชีวิตใหม่แล้ว… เรื่องเล่นยาเล่นอะไรนั่น จะมีอีกมั้ย

เขาก็พูดต่อหน้าแม่ว่า…ไม่มีแล้วครับ เรื่องยาม้า ยาไอซ์

ผมก็หวังว่า เขาจะกลับไปหาลูกสาวคนเล็กของเขา กลับตัวกลับใจ ..

ผมดีใจลึกๆ ว่า…เออ เราไม่ได้ตัดสินคนจากแค่ประเด็นที่ว่า เขาเป็นคนติดยา แล้วมาแบบอาการหนัก… เพราะหลายๆครั้ง บางทีเราอดคิดไม่ได้ว่า ..เคสแบบนี้ เหลวแหลกแบบนี้ ช่วยไปแล้ว ถ้ารอดก็ไม่รู้จะเป็นไงต่อ แต่ถ้าตายไป เราก็เหมือนเสียสถิติการผ่าตัดไปอีก (ก่อนหน้านี้ตอนปีใหม่… เสียไปแล้วหนึ่งราย..อย่างทรมานใจผมมาก)

ผมถ่ายรูป แม่กับลูก… คุณแม่เขาเดินมาขอบคุณผมอย่างมาก ช่วยชีวิตลูกชายเขารอดตายมาได้ …ผมเองก็ส่งไลนไปหาพยาบาลที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ที่ประจำวอร์ดที่เจ้าหนุ่มคนนี้ไปนอนอยู่ …บอกว่า นาย…นี้…รอดแล้วครับ.. กำลังย้ายไปห้องพิเศษบ่ายนี้

ทุกคนดีใจกันมาก…แต่ทว่า…ใครเล่าจะรู้ว่า…ในความดีใจนั้น มีอันตรายแฝงอยู่…

ในความรู้สึกเป็นปกติยิ่งของคนป่วยหลังผ่าตัดหมาดๆรายนี้ …ผมไม่แน่ใจว่า เขาเกิดความชะล่าใจอะไรหรือเปล่า… เมื่อช่วงเที่ยง หรือบ่ายตอนที่ย้ายไปห้องพิเศษ …เขาเริ่มมีอาการพลุกพล่าน ผุดลุกผุดนั่ง …ถามว่าความดันเลือด ออกซิเจน ชีพจร การหายใจมีอะไรผิดปกติมั้ย..ก็ไม่ชัด ชีพจรอาจจะเร็วขึ้นบ้าง… แต่ไม่ได้ผิดแผลงไปมากนัก…

แต่อาการที่เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นอย่างนึง… คือ เขาบ่นกระหายน้ำรุนแรงมาก อยากทานน้ำตลอด… ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคนไข้หลังเอาท่อออกบางทีมันจะคอแห้ง กระหายน้ำได้… แต่รายนี้เหมือนจะกระหายน้ำเกินปกติไปหน่อย…

ขึ้นไปห้องพิเศษได้ …ก็พาลด่าแม่ที่อุตสาห์มาเฝ้า อุตสาห์อ้อนวอนให้หมอสัญญาผ่าตัดหัวใจให้เขาด้วย… คือ ดูแล้ว เหมือนคนไข้ที่ได้รับยาม้า เกินขนาด…กระหายน้ำผิดปกติ ลุกลี้ลุกรน ฟุ้งซ่าน กระวนกระวาย

และแล้ว….สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น…

เจ้าหนุ่มคนนี้ หลังด่าแม่ตัวเองเสร็จ ก็ลุกขึ้นมายืนริมบานหน้าต่าง… ชั่วประเดี๋ยวเดียวนั้นเอง… เขาก็บ่นว่ารู้สึกเวียนหัว และค่อยๆทรุดตัวลง วูบหมดสติ…ตรงนั้นเลย

…ปั้มหัวใจกันแทบไม่ทัน ..และ…สุดท้าย ก็จบลงแบบไม่น่าเชื่อ…

…นี่แหละ..ชีวิต…

มาค้นข้อมูลดูอีกทีในคืนนั้น …เออ อาการที่เขาเป็นมันเหมือนอาการฤทธิยาม้าเกินขนาดจริงๆ สามารถทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงได้ด้วย …ขนาดคนปกติเสพย์ ยังตายกะทันหันจากหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ..แล้วเจ้าคนป่วยรายนี้ของผมเล่า …หัวใจโตรุนแรง แรงบีบอ่อนกำลังมากมาก่อนการผ่าตัด.. มันจะทนไหวหรือ..

ผมได้แค่สงสัย เพราะกว่าจะเฉลียวใจว่า จะเป็นจากยาเสพย์ติดหรือเปล่า มันก็เนิ่นนานหลังจากที่ผมฉงน และตะลึงกับเรื่องที่เกิด ว่ามันเกิดได้ยังไง.. จนไม่ทันได้เก็บตัวอย่างสารเสพย์ติดในปัสสาวะ…

 

 

 

[feather_share show=”facebook, twitter, google_plus” hide=”reddit, pinterest, linkedin, tumblr, mail” skin =”wheel”]

 

 

Leave a Reply